Google

Friday, April 20, 2007

ค้นพบที่เก็บศพพระเยซูคริสต์ ( The Lost Tomb of Jesus )





ข่าวใหญ่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือการแถลงข่าวที่นครนิวยอร์กโดยคณะผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่ของรายการ Discovery ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการค้นพบที่เก็บศพของพระเยซูคริสต์ แมรี่ แมกดาลีน พระแม่มารี โจเซฟ แมทธิวและจูดาห์ ฯลฯ โดยนาย James Cameron ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Titanic และ The Terminator และคณะที่หอสมุดสาธารณะแห่งนครนิวยอร์ก โดยได้นำกล่องหินสองกล่องซึ่งอ้างว่าบรรจุซากศพบางส่วนของพระเยซูและแมรี่ แมกดาลีน มาแสดงต่อผู้สื่อข่าวด้วย

นาย James Cameron ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการอำนวยการสร้างสารคดีเรื่องนี้ก็เพราะเชื่อว่าเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ แต่แรกเขาก็รู้สึกวิตกกังวลไม่น้อยที่ จะมาสร้างเรื่องนี้ แต่ที่สุดก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะเห็นว่าเป็นการสืบสวนข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ และเป็นความพยายามที่มิได้มุ่งหวังเพื่อเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่ประการใด แต่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบและพิจารณาผ่านสารคดีที่นำเสนออย่างมีเหตุมีผลเท่านั้น สารคดีเรื่องนี้มีชื่อว่า The Lost Tomb of Jesus ซึ่งจะนำผู้ชมไปยังบริเวณ Talpiyot ตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม ซึ่งเป็นที่ขุดพบสถานที่เก็บซากศพเหล่านี้เมื่อปี ค.ศ. 1980 ในขณะที่กำลังจะมีการก่อสร้างอาคารใหม่ และได้มีการออกหนังสือใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในโอกาสเดียวกันด้วย

ในสุสานดังกล่าว นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบหีบหินเก็บชิ้นส่วนมนุษย์ 10 หีบ และมีการสลักชื่อไว้ 6 หีบด้วยกัน ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใดเนื่องจากได้มีการลงบัญชีไว้และเก็บรักษาโดยหน่วยงานทางโบราณคดีของอิสราเอลมาตั้งแต่ต้น ชื่อที่สลักไว้บนหีบทั้ง 6 นั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นชื่อของเยซู มารี แมรี่ แมกดาลีน แมทธิว โจเซฟ และจูดาห์ จริงอยู่ที่ในศตวรรษที่ 1 นั้น ชื่อเหล่านี้มีคนใช้กันทั่วไปเหมือนชื่อ ทอม ดิ๊ค แฮรี่ ในปัจจุบัน แต่ผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ของฝ่ายผู้ผลิตสารคดียืนยันว่า โอกาสที่ชื่อทั้งหมดจะมารวมอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในที่เดียวกันนั้น มีโอกาสเพียง 1 ในล้านเท่านั้น บนหีบหนึ่งสลักชื่อไว้ว่า Yeshua bar Yosef ในภาษา Aramaic ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวยิวใช้ในสมัยนั้นและผู้เชี่ยวชาญแปลว่า Jesus son of Joseph อีกหีบหนึ่งสลักชื่อว่า Maria หรือ Miriam ในภาษาละติน ซึ่งเป็นชื่อที่สตรีประมาณร้อยละ 25 ใช้เป็นชื่อในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับกันว่าพระมารดาของพระเยซูมีชื่อที่แท้จริงว่า Maria (หรือ Mary ในภาษาอังกฤษ) และสารคดียืนยันว่าในบรรดาที่เก็บศพเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ในสมัยนั้นที่ค้นพบ มีเพียง 8 รายเท่านั้นที่สะกดตามตัวอักษรฮีบรูของชาวยิวอย่างชัดเจนว่า Maria หีบที่ 3 สลักชื่อไว้ว่า Matia ซึ่งเป็นภาษาฮีบรูของชื่อว่า Matthew ซึ่งผู้สร้างสารคดีว่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลเคยเอ่ยหลายครั้งว่าพระนางมารีมีญาติชื่อแมทธิว อยู่หลายคนในครอบครัวของนาง หีบที่ 4 สลักชื่อว่า Yose ซึ่งเป็นชื่อเล่นของคำว่า Yosef ในภาษายิว หรือ Joseph ในภาษาอังกฤษ ในกรณีนี้ผู้สร้างสารคดีได้อ้าง The New Testament อีกครั้งว่ามีระบุไว้ว่าพระเยซูมี “พี่น้อง” 4 คนคือ James, Judah, Simon และ Joseph หีบที่ 5 เป็นหีบที่มีปัญหาที่สุดเพราะผู้สร้างได้อ้างว่าเป็นชิ้นส่วนซากศพของ Mary Magdalene ซึ่งท่านผู้อ่านที่ได้เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Davinci Code มาแล้วคงจำได้ดีว่าถูกอ้างว่าเป็นภรรยาของพระเยซู ภาษาที่สลักบนหีบนี้เป็นหีบเดียวที่สลักเป็นภาษากรีกว่า Mariamene e Mara ซึ่งผู้สร้างแปลว่า Mary known as the Master และได้อ้างผลงานการศึกษาของศาสตราจารย์ Francois Bovon แห่งมหาวิทยาลัย Harvard จากเอกสาร Acts of Phillip ของสมัยศตวรรษที่ 4 หรือ 5 ว่า Mariamene คือชื่อจริงของ Mary Magdalene นอกจากนั้น ทีมผู้สร้างก็ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ DNA ของชิ้นส่วนร่างกายในหีบศพของพระเยซู และ แมรี่ แมกดาลีนด้วย (ตามความเชื่อของศาสนายิว หีบเก็บชิ้นส่วนเหล่านี้จะไม่มีการเก็บกระดูกของผู้ตายรวมอยู่ด้วย) ซึ่งปรากฏผลว่าทั้งสองซากมิได้เป็นพี่น้องจากมารดาเดียวกันอย่างแน่นอน ดังนั้นทีมผู้สร้างจึงสรุปว่าทั้งสองน่าจะเป็นสามีภรรยากัน มิเช่นนั้นคงจะไม่ถูกเก็บไว้ด้วยกันในสุสานของครอบครัวเช่นนี้ ซึ่งรวมถึง Judah บุตรชาย ซึ่งบรรจุอยู่ในหีบใบที่ 6 ด้วย

การเผยแพร่ออกอากาศของสารคดีเรื่องนี้ได้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกโดยเฉพาะจากชาวคริสต์ เพราะหากเป็นความจริงตามที่สารคดีอ้าง หลักทางศาสนาคริสต์ที่สำคัญก็จะถูกทำลายไปหลายข้อทีเดียว เช่นความเชื่อถือที่ว่าพระนางมารี ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ (Virgin Mary) เมื่อทรงประสูติพระเยซู พระเยซูไม่ได้แต่งงานกับแมรี แมกดาลีน ไม่มีบุตร และที่สำคัญที่สุดก็คือพระเยซูไม่ได้กลับฟื้นคืนชีวิต (Resurrection) เหมือนอย่างที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้ บุคคลหนึ่งที่ยังไม่เชื่อก็คือนาย Amos Cloner นักโบราณคดีอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้ค้นพบและศึกษาสุสานดังกล่าว ซึ่งได้ปรากฏตัวในสารคดีดังกล่าวด้วยและกล่าวว่าตนยังไม่เชื่อข้อสรุปของผู้จัดทำสารคดีอยู่ เนื่องจากหีบที่อ้างว่าเป็นหีบของพระเยซูนั้น รอยสลักได้ลบเลือนไปมากจนไม่สามารถจะยืนยันได้ว่าได้สลักชื่อพระเยซูไว้จริง นอกจากนั้นก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายสาขาที่ออกมาวิจารณ์ข้อสรุปเกี่ยวกับชื่อทั้ง 6 ชื่อที่มาปรากฏในที่เดียวกัน รวมทั้งผลการพิสูจน์ DNA ด้วย และเห็นกันว่าเป็นการฉวยโอกาส สร้าง ประโยชน์จากแนวโน้มที่ภาพยนตร์เรื่อง The Davinci Code ได้สร้างขึ้น อย่างไรก็ตามทีมผู้สร้างสารคดีทั้งหมดไม่ว่าผู้อำนวยการสร้าง ผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ และนักโบราณคดีต่างก็สรุปไว้เพียงว่าพวกตนตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ค้นพบเป็นอย่างมากแต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจหลงเหลืออยู่.

Credit by Daily News

No comments: