Sunday, April 22, 2007
"Antikythera"ถอดรหัสอุปกรณ์สำริดกรีก 2 พันปี ต้นกำเนิดคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
เอพี/เดลิเมล์ - นักวิจัยระบุอุปกรณ์ที่ทำจากทองสำริดเมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่ชาวกรีกโบราณใช้ติดตามเส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และอาจรวมถึงดาวเคราะห์อีกหลายดวง ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก และมีคุณค่ามากกว่าภาพโมนาลิซา
อุปกรณ์ที่ประกอบด้วยฟันเฟือง วงล้อ และหน้าปัดที่จารึกชื่อเดือนและสัญลักษณ์จักรราศี สามารถใช้คำนวณทางดาราศาสตร์ขั้นซับซ้อน และใช้เป็นปฏิทิน รวมถึงพยากรณ์ปรากฏการณ์จันทรคราสและสุริยคราส
ทีมนักวิจัยนานาชาติใช้เครื่องเอกซ์เรย์และซีทีสแกนชั้นสูงถอดรหัสคำจารึก และรวบรวมชิ้นส่วนที่พบในซากเรือบริเวณเกาะแอนติคีเทอราเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว มาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อไขความลับของกลไกอันซับซ้อนของอุปกรณ์สำริดนี้
การวิเคราะห์ยืนยันทฤษฎีที่ว่า กลไกแอนติคีเทอรา (Antikythera Mechanism) ที่มีอายุย้อนไประหว่างช่วง 100-150 ปีก่อนคริสตกาลนั้น เป็นเครื่องคำนวณทางดาราศาสตร์ และมีความก้าวหน้าทางเทคนิคมากกว่าที่เคยคิดกัน
สิ่งที่ซับซ้อนคือ ระบบฟันเฟืองและวงล้อที่เชื่อได้ว่า อย่างน้อย 1,000 ปีให้หลังจึงจะมีผู้คิดค้นกลไกนี้สำเร็จ
ไมค์ เอ็ดมันด์ส (Mike Edmunds) ศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff University) ประเทศเวลส์ ยกย่องว่าอุปกรณ์นี้ล้ำเลิศทั้งในแง่เทคนิคและการออกแบบ
"ใครก็ตามที่สร้างอุปกรณ์นี้ขึ้นมาต้องเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องมากๆ ในแง่ประวัติศาสตร์และคุณค่าแล้ว ผมคิดว่าอุปกรณ์นี้ล้ำเลิศเหนือกว่าภาพโมนาลิซา"
ระบบที่ประกอบด้วยฟันเฟืองและวงล้อกว่า 30 ชิ้น และทำงานด้วยการหมุนด้ามหมุน สามารถติดตามการโคจรของดวงดาวอย่างแม่นยำ รวมถึงทำหน้าที่เป็นปฏิทินและพยากรณ์การเกิดคราส และเป็นไปได้ว่ากลไกนี้สามารถติดตามการโคจรของดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เท่าที่คนสมัยนั้นที่เชื่อกันว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาลรู้จัก
รายงานที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารเนเจอร์กล่าวว่า ปฏิทินมีความสำคัญต่อสังคมในสมัยโบราณ เพราะบอกถึงช่วงเวลาในการเพาะปลูก และกำหนดวันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ไม่มีใครรู้ว่า ใครคือผู้ออกแบบกลไกนี้ แต่มีการคาดเดาว่าน่าจะเป็นอาร์คีมีดีส หรือฮิปปาร์คัส นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์สำคัญของกรีกตามลำดับ
ดร.โทนี ฟรีต หนึ่งในทีมวิจัย แสดงทัศนะทิ้งท้ายว่า อุปกรณ์นี้เป็นสุดยอดความสำเร็จทางเทคนิคตลอดกาล และเป็นวัตถุที่น่าทึ่งในแง่ประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
ปัจจุบัน กลไกนี้ ซึ่งอยู่ในสภาพแยกส่วนเป็นชิ้นๆ จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบรารณคดีแห่งชาติกรุงเอเธนส์
Labels:
Antikythera,
กรีก,
วารสารเนเจอร์,
อาร์คีมีดีส,
ฮิปปาร์คัส
Saturday, April 21, 2007
“ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
เนินดินขนาดใหญ่กว่ามหาปิรามิดแห่งอียิปต์ทางด้านเหนือของเชิงเขาหลีซัน ห่างจากตัวเมืองซีอันไปทางทิศตะวันออก 35 กิโลเมตร เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำเว่ย คือ ชัยภูมิของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี (ฉินสื่อหวงตี้ หรือฉินซีฮ่องเต้ ปี 259-210 ก่อนคริสตกาล) ซึ่งนักโบราณคดีจีนเชื่อว่า อาณาเขตของสุสานทั้งสิ้น 2,180 ตารางกิโลเมตรนี้ แบ่งออกเป็น พระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งนอกจากจะบรรจุพระศพของจักรพรรดิแล้ว ยังได้ฝังสมบัติ ข้าวของเครื่องใช้ในพระชนม์ชีพ ตลอดจนนางสนมกำนัล กองทหาร และสัตว์ใหญ่ไปพร้อมกัน เพื่อร่วมในการเดินทางครั้งสุดท้ายของจักรพรรดิฉินองค์แรก
ตามความที่บันทึกในต้นสมัยฮั่นโดยนักประวัติศาสตร์ ซือหม่าเชียน พรรณนาว่า ‘โลงศพของจักรพรรดิองค์แรกแห่งแผ่นดินฉิน หล่อขึ้นด้วยทองแดง ตั้งอยู่ ณ โถงใจกลางสุสาน ที่ก่อสร้างและประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาราวกับพระราชวังใต้ดิน... เพดานเลี่ยมไข่มุกและเพชร รูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว กับอัญมณีที่ประดับบนพื้นโถง รูปสายน้ำ ทะเลสาบ และทะเล..เป็นเสมือนตัวแทนของสวรรค์และพิภพ....สว่างไสวด้วยตะเกียงน้ำมันปลาวาฬ เพื่อความเป็นอมตะ...และกับดักเกาทัณฑ์ที่พร้อมจะปลิดชีพผู้บุกรุก ทุกเมื่อ...’
บันทึกนี้อาจเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่บอกเล่าถึง สภาพภายในมหาสุสานที่มีอายุใกล้เคียงช่วงเวลานั้นที่สุด ที่นักโบราณคดีจีนเชื่อว่า เชื่อถือได้ และใต้ผืนดินในอาณาบริเวณรอบนอกสุสานที่บรรจุพระศพนี้ คือทัพทหารที่ถวายการอารักขาองค์จักรพรรดิในปรภพ
29 มีนาคม ค.ศ.1974 14 นาฬิกาเศษ หยังจื้อฟาชาวนาหมู่บ้านซีหยัง พบซากดินเผาชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ ขณะกำลังขุดบ่อน้ำที่ความลึก 3 เมตร ห่างจากสุสานจักรพรรดิฉินสื่อหวงไปทางตะวันออก 1.5 กิโลเมตร
หลายวันต่อมา เจ้าคังหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรมประจำอำเภอหลินถง รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ กว้านซื้อซากโบราณวัตถุที่ชาวบ้านขุดพบ และที่เคยขายออกไปก่อนหน้านี้ ได้ 3 คันรถ หลังจากนั้นกลับไปยังห้องวิจัยเพื่อทำการศึกษา
ต้นเดือนพฤษภาคม เจ้าคังหมิน จำกัดพื้นที่ 120 ตารางเมตรรอบบ่อน้ำเพื่อทำการขุดหาซากดินเผาเพิ่ม
ขณะนั้นเป็นเวลาประจวบเหมาะที่ ลิ่นอันเหวิ่น นักข่าวหนังสือพิมพ์ซินหัว กลับไปเยี่ยมญาติที่อำเภอหลินถง เห็นสิ่งที่ชาวนาและเจ้าหน้าที่ขุดพบ เมื่อกลับสู่ปักกิ่งนำเรื่องตีพิมพ์ลงใน ‘ชุนนุมเหตุการณ์’ ของสำนักพิมพ์เหรินหมินยื่อเป้า
ต้นเดือนกรกฎาคม รองนายกรัฐมนตรีหลี่เซียนเนี่ยน มีคำสั่ง ให้กองโบราณคดีและคณะกรรมการมณฑลส่านซี ร่วมหามาตรการอนุรักษ์โบราณวัตถุนี้
15 กรกฎาคม ค.ศ.1974 หยวนจงอี เจ้าคังหมิน นำทีมนักโบราณคดี เดินทางเข้าหมู่บ้านซีหยังอีกครั้ง การขุดค้นครั้งสำคัญเริ่มต้นขึ้น ..โลกตกตะลึง..กองทัพหุ่นทหารดินเผา เครื่องสังเวยในหลุมสุสานขนาดมหึมา
1 ตุลาคม ค.ศ.1979 พิพิธภัณฑ์หุ่นดินเผากองทหารสุสานจักรพรรดิฉินสื่อหวง เปิดให้สาธารณชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ ได้รับการโจษขานเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่ 8 แห่งศตวรรษที่ 20’....กระทั่ง ธันวาคม ค.ศ. 1987 องค์การยูเนสโกลงมติให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม
หลุมขุดค้นที่ 1 ปรากฏกองทัพใต้ดินอันทรงพลานุภาพ ประกอบด้วยหุ่นทหารติดอาวุธกว่า 6,000 ตัว รวมถึงหุ่นม้า และรถศึก หุ่นดินเผาทหารและม้าศึกมีขนาดใหญ่เล็กเหมือนของจริง หุ่นทุกตัวมีสีหน้าและทรงผมเป็นลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน สูงราว 5 ฟุต 8 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 5 นิ้ว ยืนตระหง่านเรียงรายเป็นหมวดหมู่ ในหลุมสุสานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 197 ฟุต (62 เมตร) ยาว 689 ฟุต(230 เมตร) ลึก 14.8-21.3 ฟุต(5 เมตร)
นักโบราณคดีจีน ตั้งข้อสังเกตว่า กองทหารอารักขาสุสานของจักรพรรดิฉินสื่อหวงที่พบในหลุมนี้ มีแนวการจัดทัพตามบันทึกในตำราพิชัยสงครามซุนอู่
หลุมขุดค้นที่ 2 ห่างจากหลุมขุดค้นที่ 1 ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 20 เมตร พบในปี 1976 พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 ส่วน ขุดพบหุ่นดินเผาทหาร 1,000 ตัว ม้าศึก 500 ตัว และรถม้าทำจากไม้ 89 คัน เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อปี 1994
หลุมขุดค้นที่ 3 ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 25 เมตร พบในปี 1976 ขนาด 520 ตารางเมตร พบหุ่นทหาร 68 ตัว กับรถม้า 1 คัน และม้าศึก 4 ตัว รวมถึงกระดูกสัตว์และเขากวาง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเครื่องบูชายัญในพิธีศพ
นักโบราณคดีคาดว่า หลุมที่ 3 นี้อาจเป็นกองบัญชาการกลางควบคุมกองทหาร ตามใบหน้าของหุ่นดินเผาทหาร เสื้อเกราะและอาวุธที่ขุดพบมีสีทาไว้ แต่เมื่อนักโบราณคดีเปิดสุสานครั้งแรก อากาศภายนอกทำให้สีบนตัวหุ่นสลายไปในเวลาอันรวดเร็ว หลุมขุดค้นที่ 3 เปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1989
รวมวัตถุโบราณที่ค้นพบทั้งที่เป็นหุ่นทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม ทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ในหลุมสุสาน 25,000 กว่าตารางเมตร
จนถึงวันนี้ลึกลงไปใต้สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ยังคงเป็นปริศนาท้าทายนักโบราณคดีทั่วโลก ถึงแม้นักโบราณคดีจีนจะคาดการณ์ได้ว่า สุสานแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่การขุดค้นความจริงภายใต้สุสาน จำเป็นต้องอาศัยเทคนิควิธีการที่ก้าวหน้ามาก ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการอนุรักษ์โบราณวัตถุล้ำค่า ดังนั้นการคิดค้นกระบวนการขุดค้นอันซับซ้อน จึงยังเป็นความหวังของนักโบราณคดีต่อไป.
นาซาพบร่องรอยน้ำไหลบนดาวอังคารในช่วง 10 ปี
พื้นผิวดาวอังคารบริเวณใจกลางดาวที่เรียกว่า "อราเบีย เทอร์รา" บันทึกไว้เมื่อวันที่ 11 พ.ย.44 พื้นที่สว่างๆ แสดงให้เห็นถึงการก่อตัวของ 2 ทางน้ำไหลที่ MGS ได้บันทึกภาพไว้
ภาพนี้บันทึกไว้เมื่อ 24 มี.ค.46 ที่บริเวณหลุมทโคนราวอฟ (Tikhonravov Crater) ใจกลางภาพจะเห็นเหมือนมีร่องรอยการเคลื่อนของเหลว
ภาพเปรียบเทียบหลุมที่ไม่ทราบชื่อในพื้นที่เซ็นทูรี มองเตส (Centauri Montes) โดยภาพทางซ้ายบันทึกไว้เมื่อปี 2544 ส่วนภาพทางขวาบันทึกเมื่อปี 2548 ตามตำแหน่งที่ลูกศรชี้จะเห็นว่ามาทางน้ำไหลเพิ่มขึ้นมา
ภาพซ้ายถ่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2542 ภาพขวาถ่ายเมื่อกันยายนปี 2548 จะเห็นว่ามีร่องรอยทางเหมือนน้ำไหลในด้านขวาล่างของภาพ
เอเจนซี/เอพี/บีบีซีนิวส์ – นาซาค้นพบหลักฐานชี้ว่าพื้นผิวของดาวอังคารมีน้ำไหลผ่านในช่วงเวลาไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา สร้างความหวังในการตามหาสิ่งมีชีวิตบนดาวแดง และเพิ่มความเป็นไปได้ในการตั้งฐานที่มั่นบนดาวฝาแฝดโลกในอนาคต ท่ามกลางสภาพที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ที่กำลังขมักเขม้นสำรวจดาวอังคาร ก็พบหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความหวังของการมีชีวิตบนดาวอังคาร โดยดาวเทียมเอ็มจีเอส (Mars Global Surveyor : MGS) ซึ่งโคจรไปรอบๆ ดาวอังคาร สามารถถ่ายภาพแนวร่องทางน้ำบนพื้นผิวดาวแดงที่แสดงให้เห็นว่า เคยมีน้ำไหลในบริเวณนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมาลิน สเปซ ไซน์ ซิสเต็ม (Malin Space Science Systems) ในซานดิเอโก ผู้ดูแลกล้องบันทึกภาพบน MGS ได้ตัดสินใจบันทึกภาพบริเวณที่เชื่อว่าเคยเป็นทางน้ำไหลนับพันๆ ภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ต่อข้อสันนิษฐานดังกล่าว
ไมเคิล เมเยอร์ (Michael Mayer) หัวหน้าโครงการสำรวจดาวอังคาร นาซา เผยว่า การสำรวจดังกล่าวให้หลักฐานหนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ว่าบนพื้นผิวดาวอังคารมีน้ำอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่รายอื่นของนาซา ก็ให้ข้อมูลว่า ร่องน้ำที่สำรวจพบนั้น มีความยาวหลายร้อยเมตร
ยานสำรวจที่ถูกส่งไปยังวงโคจรของดาวอังคารตั้งแต่ปี 2540 สามารถถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับโลก และส่งมายังนาซา ถึง 240,000 ภาพ หลายภาพสามารถมองเห็นร่องน้ำนับพันบนพื้นผิว และเมื่อปีที่แล้ว ภาพที่ส่งมาก็แสดงให้เห็นร่องน้ำใหม่ 2 สาย ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน โดยทั้ง 2 สายถูกบันทึกไปเมื่อปี พ.ศ.2542 และ 2543 จากนั้นก็มีการบันทึกภาพอีกครั้งในปี 2547 และ 2548 แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทางน้ำไหล
ทั้ง 2 กรณีนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นสีสว่างๆ ที่บริเวณทางน้ำไหล ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภาพต้นฉบับ ซึ่งอาจเป็นได้ว่าร่องดังกล่าวมีโคลน เกลือ หรือน้ำแข็งจับอยู่ในนั้น และถูกน้ำเซาะออกไป แม้ว่าภาพจะไม่แสดงให้เห็นว่ามีน้ำโดยตรง แต่ทำให้เห็นว่ามีน้ำในสภาพของเหลวไหลอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคาร ในปริมาณของน้ำในสระว่ายน้ำราว 5-10 สระ
ทว่านักวิทยาศาสตร์บางรายก็ตั้งข้อสังเกตว่าร่องรอยเหล่านั้นอาจเกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เหลวก็เป็นได้ หนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้นเพราะแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลว่าหลุมขอบต่างๆ ของดาวอังคารนั้นจะมีน้ำได้ก็ต่อเมื่อหลุมนั้นๆ ลึกเป็นกิโลๆ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์เหลวสามารถอยู่ในหลุมตื้นๆ ได้ เพราะอุณหภูมิที่พื้นผิวลดต่ำถึง -170 องศาเซลเซียส
โอเด็ด อฮารอนสัน (Oded Aharonson) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางด้านดาวเคราะห์สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (คาลเทค) เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ถึงกิจกรรมของน้ำบนดาวอังคารนั้น ก็เพื่อหาความเป็นไปได้ในการสำรวจดาวอังคาร ซึ่งการศึกษาขั้นต่อไปคือการวิเคราะห์ร่องรอยเหล่านั้นว่าเป็นฝุ่นหรือเป็นน้ำกันแน่
ผู้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวนี้สงสัยกันมาเนิ่นนานว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่ การพบร่องรอยว่ามีน้ำอยู่บนดาวอังคารเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนความเชื่อดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญของนาซา และนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ต้องการทำการสำรวจครั้งใหม่เพื่อหาน้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร แต่การส่งมนุษย์ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคารเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่ามีดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากพุ่งชนดาวอังคารอยู่เสมอ
ภาพนี้บันทึกไว้เมื่อ 24 มี.ค.46 ที่บริเวณหลุมทโคนราวอฟ (Tikhonravov Crater) ใจกลางภาพจะเห็นเหมือนมีร่องรอยการเคลื่อนของเหลว
ภาพเปรียบเทียบหลุมที่ไม่ทราบชื่อในพื้นที่เซ็นทูรี มองเตส (Centauri Montes) โดยภาพทางซ้ายบันทึกไว้เมื่อปี 2544 ส่วนภาพทางขวาบันทึกเมื่อปี 2548 ตามตำแหน่งที่ลูกศรชี้จะเห็นว่ามาทางน้ำไหลเพิ่มขึ้นมา
ภาพซ้ายถ่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2542 ภาพขวาถ่ายเมื่อกันยายนปี 2548 จะเห็นว่ามีร่องรอยทางเหมือนน้ำไหลในด้านขวาล่างของภาพ
เอเจนซี/เอพี/บีบีซีนิวส์ – นาซาค้นพบหลักฐานชี้ว่าพื้นผิวของดาวอังคารมีน้ำไหลผ่านในช่วงเวลาไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา สร้างความหวังในการตามหาสิ่งมีชีวิตบนดาวแดง และเพิ่มความเป็นไปได้ในการตั้งฐานที่มั่นบนดาวฝาแฝดโลกในอนาคต ท่ามกลางสภาพที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ที่กำลังขมักเขม้นสำรวจดาวอังคาร ก็พบหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความหวังของการมีชีวิตบนดาวอังคาร โดยดาวเทียมเอ็มจีเอส (Mars Global Surveyor : MGS) ซึ่งโคจรไปรอบๆ ดาวอังคาร สามารถถ่ายภาพแนวร่องทางน้ำบนพื้นผิวดาวแดงที่แสดงให้เห็นว่า เคยมีน้ำไหลในบริเวณนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมาลิน สเปซ ไซน์ ซิสเต็ม (Malin Space Science Systems) ในซานดิเอโก ผู้ดูแลกล้องบันทึกภาพบน MGS ได้ตัดสินใจบันทึกภาพบริเวณที่เชื่อว่าเคยเป็นทางน้ำไหลนับพันๆ ภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ต่อข้อสันนิษฐานดังกล่าว
ไมเคิล เมเยอร์ (Michael Mayer) หัวหน้าโครงการสำรวจดาวอังคาร นาซา เผยว่า การสำรวจดังกล่าวให้หลักฐานหนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ว่าบนพื้นผิวดาวอังคารมีน้ำอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่รายอื่นของนาซา ก็ให้ข้อมูลว่า ร่องน้ำที่สำรวจพบนั้น มีความยาวหลายร้อยเมตร
ยานสำรวจที่ถูกส่งไปยังวงโคจรของดาวอังคารตั้งแต่ปี 2540 สามารถถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับโลก และส่งมายังนาซา ถึง 240,000 ภาพ หลายภาพสามารถมองเห็นร่องน้ำนับพันบนพื้นผิว และเมื่อปีที่แล้ว ภาพที่ส่งมาก็แสดงให้เห็นร่องน้ำใหม่ 2 สาย ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน โดยทั้ง 2 สายถูกบันทึกไปเมื่อปี พ.ศ.2542 และ 2543 จากนั้นก็มีการบันทึกภาพอีกครั้งในปี 2547 และ 2548 แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทางน้ำไหล
ทั้ง 2 กรณีนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นสีสว่างๆ ที่บริเวณทางน้ำไหล ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภาพต้นฉบับ ซึ่งอาจเป็นได้ว่าร่องดังกล่าวมีโคลน เกลือ หรือน้ำแข็งจับอยู่ในนั้น และถูกน้ำเซาะออกไป แม้ว่าภาพจะไม่แสดงให้เห็นว่ามีน้ำโดยตรง แต่ทำให้เห็นว่ามีน้ำในสภาพของเหลวไหลอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคาร ในปริมาณของน้ำในสระว่ายน้ำราว 5-10 สระ
ทว่านักวิทยาศาสตร์บางรายก็ตั้งข้อสังเกตว่าร่องรอยเหล่านั้นอาจเกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เหลวก็เป็นได้ หนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้นเพราะแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลว่าหลุมขอบต่างๆ ของดาวอังคารนั้นจะมีน้ำได้ก็ต่อเมื่อหลุมนั้นๆ ลึกเป็นกิโลๆ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์เหลวสามารถอยู่ในหลุมตื้นๆ ได้ เพราะอุณหภูมิที่พื้นผิวลดต่ำถึง -170 องศาเซลเซียส
โอเด็ด อฮารอนสัน (Oded Aharonson) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางด้านดาวเคราะห์สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (คาลเทค) เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ถึงกิจกรรมของน้ำบนดาวอังคารนั้น ก็เพื่อหาความเป็นไปได้ในการสำรวจดาวอังคาร ซึ่งการศึกษาขั้นต่อไปคือการวิเคราะห์ร่องรอยเหล่านั้นว่าเป็นฝุ่นหรือเป็นน้ำกันแน่
ผู้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวนี้สงสัยกันมาเนิ่นนานว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่ การพบร่องรอยว่ามีน้ำอยู่บนดาวอังคารเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนความเชื่อดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญของนาซา และนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ต้องการทำการสำรวจครั้งใหม่เพื่อหาน้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร แต่การส่งมนุษย์ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคารเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่ามีดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากพุ่งชนดาวอังคารอยู่เสมอ
Labels:
Malin Space Science Systems,
Mars,
ดาวอังคาร,
นาซา,
อราเบีย เทอร์รา
Friday, April 20, 2007
ค้นพบที่เก็บศพพระเยซูคริสต์ ( The Lost Tomb of Jesus )
ข่าวใหญ่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือการแถลงข่าวที่นครนิวยอร์กโดยคณะผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่ของรายการ Discovery ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการค้นพบที่เก็บศพของพระเยซูคริสต์ แมรี่ แมกดาลีน พระแม่มารี โจเซฟ แมทธิวและจูดาห์ ฯลฯ โดยนาย James Cameron ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Titanic และ The Terminator และคณะที่หอสมุดสาธารณะแห่งนครนิวยอร์ก โดยได้นำกล่องหินสองกล่องซึ่งอ้างว่าบรรจุซากศพบางส่วนของพระเยซูและแมรี่ แมกดาลีน มาแสดงต่อผู้สื่อข่าวด้วย
นาย James Cameron ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการอำนวยการสร้างสารคดีเรื่องนี้ก็เพราะเชื่อว่าเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ แต่แรกเขาก็รู้สึกวิตกกังวลไม่น้อยที่ จะมาสร้างเรื่องนี้ แต่ที่สุดก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะเห็นว่าเป็นการสืบสวนข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ และเป็นความพยายามที่มิได้มุ่งหวังเพื่อเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่ประการใด แต่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบและพิจารณาผ่านสารคดีที่นำเสนออย่างมีเหตุมีผลเท่านั้น สารคดีเรื่องนี้มีชื่อว่า The Lost Tomb of Jesus ซึ่งจะนำผู้ชมไปยังบริเวณ Talpiyot ตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม ซึ่งเป็นที่ขุดพบสถานที่เก็บซากศพเหล่านี้เมื่อปี ค.ศ. 1980 ในขณะที่กำลังจะมีการก่อสร้างอาคารใหม่ และได้มีการออกหนังสือใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในโอกาสเดียวกันด้วย
ในสุสานดังกล่าว นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบหีบหินเก็บชิ้นส่วนมนุษย์ 10 หีบ และมีการสลักชื่อไว้ 6 หีบด้วยกัน ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใดเนื่องจากได้มีการลงบัญชีไว้และเก็บรักษาโดยหน่วยงานทางโบราณคดีของอิสราเอลมาตั้งแต่ต้น ชื่อที่สลักไว้บนหีบทั้ง 6 นั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นชื่อของเยซู มารี แมรี่ แมกดาลีน แมทธิว โจเซฟ และจูดาห์ จริงอยู่ที่ในศตวรรษที่ 1 นั้น ชื่อเหล่านี้มีคนใช้กันทั่วไปเหมือนชื่อ ทอม ดิ๊ค แฮรี่ ในปัจจุบัน แต่ผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ของฝ่ายผู้ผลิตสารคดียืนยันว่า โอกาสที่ชื่อทั้งหมดจะมารวมอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในที่เดียวกันนั้น มีโอกาสเพียง 1 ในล้านเท่านั้น บนหีบหนึ่งสลักชื่อไว้ว่า Yeshua bar Yosef ในภาษา Aramaic ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวยิวใช้ในสมัยนั้นและผู้เชี่ยวชาญแปลว่า Jesus son of Joseph อีกหีบหนึ่งสลักชื่อว่า Maria หรือ Miriam ในภาษาละติน ซึ่งเป็นชื่อที่สตรีประมาณร้อยละ 25 ใช้เป็นชื่อในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับกันว่าพระมารดาของพระเยซูมีชื่อที่แท้จริงว่า Maria (หรือ Mary ในภาษาอังกฤษ) และสารคดียืนยันว่าในบรรดาที่เก็บศพเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ในสมัยนั้นที่ค้นพบ มีเพียง 8 รายเท่านั้นที่สะกดตามตัวอักษรฮีบรูของชาวยิวอย่างชัดเจนว่า Maria หีบที่ 3 สลักชื่อไว้ว่า Matia ซึ่งเป็นภาษาฮีบรูของชื่อว่า Matthew ซึ่งผู้สร้างสารคดีว่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลเคยเอ่ยหลายครั้งว่าพระนางมารีมีญาติชื่อแมทธิว อยู่หลายคนในครอบครัวของนาง หีบที่ 4 สลักชื่อว่า Yose ซึ่งเป็นชื่อเล่นของคำว่า Yosef ในภาษายิว หรือ Joseph ในภาษาอังกฤษ ในกรณีนี้ผู้สร้างสารคดีได้อ้าง The New Testament อีกครั้งว่ามีระบุไว้ว่าพระเยซูมี “พี่น้อง” 4 คนคือ James, Judah, Simon และ Joseph หีบที่ 5 เป็นหีบที่มีปัญหาที่สุดเพราะผู้สร้างได้อ้างว่าเป็นชิ้นส่วนซากศพของ Mary Magdalene ซึ่งท่านผู้อ่านที่ได้เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Davinci Code มาแล้วคงจำได้ดีว่าถูกอ้างว่าเป็นภรรยาของพระเยซู ภาษาที่สลักบนหีบนี้เป็นหีบเดียวที่สลักเป็นภาษากรีกว่า Mariamene e Mara ซึ่งผู้สร้างแปลว่า Mary known as the Master และได้อ้างผลงานการศึกษาของศาสตราจารย์ Francois Bovon แห่งมหาวิทยาลัย Harvard จากเอกสาร Acts of Phillip ของสมัยศตวรรษที่ 4 หรือ 5 ว่า Mariamene คือชื่อจริงของ Mary Magdalene นอกจากนั้น ทีมผู้สร้างก็ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ DNA ของชิ้นส่วนร่างกายในหีบศพของพระเยซู และ แมรี่ แมกดาลีนด้วย (ตามความเชื่อของศาสนายิว หีบเก็บชิ้นส่วนเหล่านี้จะไม่มีการเก็บกระดูกของผู้ตายรวมอยู่ด้วย) ซึ่งปรากฏผลว่าทั้งสองซากมิได้เป็นพี่น้องจากมารดาเดียวกันอย่างแน่นอน ดังนั้นทีมผู้สร้างจึงสรุปว่าทั้งสองน่าจะเป็นสามีภรรยากัน มิเช่นนั้นคงจะไม่ถูกเก็บไว้ด้วยกันในสุสานของครอบครัวเช่นนี้ ซึ่งรวมถึง Judah บุตรชาย ซึ่งบรรจุอยู่ในหีบใบที่ 6 ด้วย
การเผยแพร่ออกอากาศของสารคดีเรื่องนี้ได้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกโดยเฉพาะจากชาวคริสต์ เพราะหากเป็นความจริงตามที่สารคดีอ้าง หลักทางศาสนาคริสต์ที่สำคัญก็จะถูกทำลายไปหลายข้อทีเดียว เช่นความเชื่อถือที่ว่าพระนางมารี ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ (Virgin Mary) เมื่อทรงประสูติพระเยซู พระเยซูไม่ได้แต่งงานกับแมรี แมกดาลีน ไม่มีบุตร และที่สำคัญที่สุดก็คือพระเยซูไม่ได้กลับฟื้นคืนชีวิต (Resurrection) เหมือนอย่างที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้ บุคคลหนึ่งที่ยังไม่เชื่อก็คือนาย Amos Cloner นักโบราณคดีอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้ค้นพบและศึกษาสุสานดังกล่าว ซึ่งได้ปรากฏตัวในสารคดีดังกล่าวด้วยและกล่าวว่าตนยังไม่เชื่อข้อสรุปของผู้จัดทำสารคดีอยู่ เนื่องจากหีบที่อ้างว่าเป็นหีบของพระเยซูนั้น รอยสลักได้ลบเลือนไปมากจนไม่สามารถจะยืนยันได้ว่าได้สลักชื่อพระเยซูไว้จริง นอกจากนั้นก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายสาขาที่ออกมาวิจารณ์ข้อสรุปเกี่ยวกับชื่อทั้ง 6 ชื่อที่มาปรากฏในที่เดียวกัน รวมทั้งผลการพิสูจน์ DNA ด้วย และเห็นกันว่าเป็นการฉวยโอกาส สร้าง ประโยชน์จากแนวโน้มที่ภาพยนตร์เรื่อง The Davinci Code ได้สร้างขึ้น อย่างไรก็ตามทีมผู้สร้างสารคดีทั้งหมดไม่ว่าผู้อำนวยการสร้าง ผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ และนักโบราณคดีต่างก็สรุปไว้เพียงว่าพวกตนตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ค้นพบเป็นอย่างมากแต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจหลงเหลืออยู่.
Credit by Daily News
Labels:
James Cameron,
Talpiyot,
The Lost Tomb of Jesus,
พระเยซูคริสต์
Tuesday, April 17, 2007
สโตนเฮนจ์ แห่งทุ่งซอลสเบอร์รี่
ทุกท่านคงพอจะเคยได้ยินชื่อ ของกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ที่ทุ่งซอลสเบอร์รี่ ในประเทศอังกฤษมาแล้วนะครับ สโตนเฮนจ์นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลกสมัยกลาง ซึ่งชนชาวโลกพากันฉงนฉงายมานับเป็นพันๆปีแล้วว่า ใครกันหนอ ยกมันมาตั้งไว้ที่นั่น และด้วยจุดมุ่งหมายอันใดกัน
บางคนเสนอแนวคิดที่น่าฟังว่า ผู้ที่สร้างสโตนเฮนจ์เหล่านั้น เห็นจะเป็น"ยักษ์"ตามพระคัมถีร์ ซึ่งเคยครองโลกในยุคโบราณ เพราะกองหินประหลาดดังกล่าวนั้น ไม่ได้มีขนาดกระจิ๋วหลิวอย่างเครื่อง PS-One นี่ครับ แต่ละก้อนล้วนมหึมาด้วยส่าวนสูง 13 ฟุต กว้าง 7 ฟุต หนาประมาณ 4 ฟุตทั้งสิ้น คำนวณน้ำหนักแล้วตกก้อนละประมาณ 30 ตันครับ และมีหลายก้อนหนัก 50 ตัน รวมเบ็ดเสร็จ 112 ก้อน
แล้วก็ไม่ใช่ว่าหินพวกนี้ จะกองระเกะระกะเฉยๆอยู่กลางท้องทุ่งเสียเมื่อไหร่ครับ มันเรียงกันเป็นวงกลมอย่างดิบดี ในลักษณะสองก้อนรองอยู่ข้างล่าง วางทับบนด้วยก้อนหินขนาด 10 ฟุต เป็นระยะๆจนครบรอบ วงกลมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 ฟุต ภายในวงกลมนี้ยังมีก้อนหินขนาดสูง 18 ฟุต เรียงรายเป็นรูปเกือกม้าอยู่ 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยหินหนักรวม 50 ตัน และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 75 ฟุตครับ
ซึ่งท่านก็คงจะเห็นด้วยกับแล้วว่า ก้อนหินพวกนี้ ต้องไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่ๆ ต้องเกิดจากฝีมือของมนุษย์โดยไม่ต้องสงสัย แต่มนุษย์ที่ว่าเป็นมนุษย์ยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาลจริงหรือไม่? จะเรียงหินเหล่านี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด ข้อนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้ เพราะอายุอานามของหินนั้น ก็ประมาณ 5-6 พันปีก่อนครับ เป็นช่วงนี้มนุษย์โลกเรายังเจริญไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ
การค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์นั้น ดำเนินมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน นักวิชาการที่พากันค้นคว้าเกี่ยวกับกองหินประหลาดนี้ ก็ต่างพากันลงความเห็นว่า มันถูกสร้างขึ้นโดยคนที่มีความรู้ด้านดาราศาสตร์เป็นอย่างสูง และว่าความมุ่งหมายที่สร้างสโตนเฮนจ์ขึ้น ก็เพื่อใช้เป็นเครื่องคำนวณอย่างหยาบๆ ที่สามารถบอกรายละเอียดต่างๆได้มากมาย พิมพ์หนังสือออกมาเป็นพันๆหน้า ชนิดที่อ่านแล้วก็ยังหัวหมุน แต่พอจะสรุปหน้าที่ปัจจุบันของมัน เท่าที่เราทราบได้ ดังนี้ครับ
ใช้เป็นหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งสามารถบอกวันเดือนปี แทนปฏิทินได้ การจัดจังหวะก้อนหินแต่ละช่องให้มีช่องว่างที่เหมาะสม ก็เพื่อใช้พยากรณ์และคำนวณวิถีโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวบางดวงที่มีความสำคัญกับผู้คนในยุคโน้นสามารถบอกวันแรกของฤดูร้อน หนาว ใบไม่ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงในแต่ละปีได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ใช้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หยาบๆ คำนวณสุริยคราส จันทรคราส และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆที่จำเป็น เมื่อทราบถึงเหตุผลที่สร้างคอมพิวเตอร์ยักษ์นี่แล้ว ก็ยังไม่วายมีข้อสงสัยผุดขึ้นมาอีกครับ เป็นข้อสงสัยที่ใครๆก็มีกัน นั่นคือ บรรพชนสมัย 5000 ปีก่อน สามารถลำเลียงหินทรายขนาดใหญ่และหนัก จากภูเขาซึ่งอยู่ห่างออกไป 25 ไมล์มาตั้งซ้อนกันได้อย่างไร? เมื่อคิดไม่ออกหนักเข้า ก็โยนให้มนุษย์ต่างดาวตามฟอร์มเดิมสิครับ นั่นคือนัก Ufologist ได้อธิบายว่า เมื่อ 5000 ปีมาแล้ว มนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม ได้มาที่ทุ่งซอลสเบอร์รี่นี้ และสั่งสอนชาวโลกซึ่งตอนนั้นอาจจะเป็นพวกดรูอิดโบราณ ให้เรียนรู้วิชาดาราศาสตร์อันเป็นแขนงวิชา ที่ว่าด้วยการสร้างคอมพิวเตอร์ศิลาขนาดมหึมานี้ ส่วนกรรมวิธีในการยกหินน่ะหรือครับ เรื่องขี้ผงมาก สำหรับคุณครูจากอวกาศเหล่านี้
Labels:
Stonehenge,
Ufologist,
กองหินประหลาด,
ซอลสเบอร์รี่,
สโตนเฮนจ์
Sunday, April 15, 2007
ใจกลางของโลกยังคงร้อนจัด ร้อนขนาดน้องๆ ผิวอาทิตย์
นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดอุณหภูมิที่ใจกลางของโลก ลึกจากพื้นลงไปหลายพันกิโลเมตร พบว่ามีอุณหภูมิสูงถึง 3,676 องศาเซลเซียส ร้อนระดับน้องๆ อุณหภูมิที่ผิวพื้นของดวงอาทิตย์ซึ่งร้อนถึง 5,526 องศา
วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ ของสหรัฐฯฉบับใหม่ กล่าวแจ้งว่า นักธรณีวิทยาได้ศึกษา เพื่อต้องการที่จะหาความรู้ว่า ความร้อนภายในโลกที่เป็นต้นตอของเหตุแผ่นดินไหวและภูเขาไฟปะทุ ตลอดจนสนามแม่เหล็กโลก ถ่ายเทออกมาได้อย่างไร
นักวิทยาศาสตร์โรเบิร์ต แวน เดอ ฮิลสต์ กับคณะของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ ได้ศึกษาบริเวณใต้ผิวโลกแถบอเมริกากลาง โดยการติดตามคลื่นที่เกิดเมื่อแผ่นดินไหว คลื่นนั้นเดินทางลึกลงไปใจกลางโลก ลึกลงไปเป็นระยะทางไกลหลายพัน กม. และได้อาศัยตรวจวัดอุณหภูมิภายในของโลกที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกและแกนได้ หากว่าอ่านและตีความข้อมูลเป็น
ดาวเคราะห์ทุกดวงเมื่อตอนเกิดขึ้นใหม่ๆ ล้วนแต่ร้อนจัดทั้งสิ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเป็นพันๆล้านปี จึงค่อยเย็นลงเป็นลำดับ.
ดาวเคราะห์น้อยเฉียดใกล้โลก ก้อนโตขนาด 2 กม. มีเป็นร้อย
เว็บไซต์ สเปซเวทเธอร์ ดอท คอม เปิดเผยว่า ได้มีดาวเคราะห์น้อยโตประมาณ 2 กม. โคจรผ่านโลกไป ในระยะห่าง 9 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ เมื่อปลายเดือนที่แล้วนี้
รายงานกล่าวว่า ดาวเคราะห์น้อยนี้ได้โคจรผ่านเหนือดินแดนภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย หากก้อนดาวเคราะห์ขนาดนี้เกิดชนโลก จะสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีไกลหลายร้อย กม. และอาจทำลายระบบการค้าของโลก ทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปอย่างที่ไม่ เคยเห็นกันมาก่อนในประวัติศาสตร์ปัจจุบันนี้
นักดาราศาสตร์ได้จัดการลงทะเบียน ก้อนดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดประมาณ 2 กม. มีวิถีโคจรเข้ามาเฉียดใกล้โลกไว้หลายร้อยดวงแล้ว แต่ยังไม่พบว่ามีดวงใดจะหันเหออกนอกทาง แต่ยังมีหวังพบดวงใหม่ๆอีก อย่างเช่น มีอยู่ดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า “อโปฟิส” จะโคจรผ่านใกล้โลกใน พ.ศ. 2572 และอาจวกกลับมาเฉียดใกล้โลกอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2579 ถึงกับมีนักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกร้องให้คอยจับตาดูมันไว้อย่างใกล้ชิด.
รายงานกล่าวว่า ดาวเคราะห์น้อยนี้ได้โคจรผ่านเหนือดินแดนภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย หากก้อนดาวเคราะห์ขนาดนี้เกิดชนโลก จะสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีไกลหลายร้อย กม. และอาจทำลายระบบการค้าของโลก ทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปอย่างที่ไม่ เคยเห็นกันมาก่อนในประวัติศาสตร์ปัจจุบันนี้
นักดาราศาสตร์ได้จัดการลงทะเบียน ก้อนดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดประมาณ 2 กม. มีวิถีโคจรเข้ามาเฉียดใกล้โลกไว้หลายร้อยดวงแล้ว แต่ยังไม่พบว่ามีดวงใดจะหันเหออกนอกทาง แต่ยังมีหวังพบดวงใหม่ๆอีก อย่างเช่น มีอยู่ดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า “อโปฟิส” จะโคจรผ่านใกล้โลกใน พ.ศ. 2572 และอาจวกกลับมาเฉียดใกล้โลกอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2579 ถึงกับมีนักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกร้องให้คอยจับตาดูมันไว้อย่างใกล้ชิด.
Saturday, April 14, 2007
The Great Pyramid of Egypt
ปิรามิดแห่งกิซ่า: The Great Pyramid of Egypt
สถานที่ตั้ง เมืองกิซา ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว
- ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
อ้างอิง : ชิต ภิบาลแทน และ ชุลีพร สุสุวรรณ.ความรู้รอบตัวสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าสนใจ.
พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์ ,2540
Labels:
Egypt,
Pyramid,
ฟาโรห์คีออพส์,
มหาปิรามิด,
เมืองกีซ่า,
สิ่งมหัศจรรย์
Subscribe to:
Posts (Atom)